top of page

หลักสูตรที่ 2 บทที่ 4

 

พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า

    เราได้ศึกษาเรื่อง พระคริสตธรรมคัมภีร์คืออะไร และได้ชี้แจงให้นักศึกษาเห็นว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้าผู้ประทานให้  จะรู้ได้อย่างไรว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า   โปรดพิจารณาดูข้อพิสูจน์ดังต่อไปนี้

 

ความกลมกลืนของพระคริสตธรรมคัมภีร์

    พระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งหมด 66 ฉบับ มีผู้เขียนประมาณ 40 คน  ผู้เขียนทุกคนมีชีวิตอยู่คนละสมัยห่างกันนับร้อยปีบ้าง และบ้างก็ห่างกันนับพันปี  ใชเวลาในการเขียน 1,600 ปี  ผู้เขียนมีชีวิตกันคนละสมัยจะเขียนข้อความกลมกลืนกันอย่างไร  ข้อสังเกตก็คือว่า เขาไม่ได้นั่งปรึกษาหารือกันในการเขียนข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ข้อความตรงกัน ผู้เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ทุกคนแม้จะอยู่กันคนละสมัยก็เขียนข้อความไม่ขัดแย้งกัน  ข้อความที่เขาเขียนขึ้นกลมกลืนกันเป็นอย่างดี  เพราะฉะนั้นเราจึงสรุปว่า การที่ 40 คนเขียนข้อความในพระคริสตธรรมคัมภีร์โดยไม่ขัดแย้งกัน  และยังกลมกลืนกันเป็นอย่างดี  แสดงผู้เขียนเหล่านั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า  และพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริง

 

พระคริสตธรรมคัมภีร์สอดคล้องกับวิทยาศาสตร?

    ข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า  เพราะว่าผู้เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์เขียนข้อความไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์  พระเจ้าไม่มีจุดประสงค์จะใช้คนของพระเจ้าเขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์หรือเขียนเป็นภาษาวิทยาศาสตร์  แต่  (1) พระคริสตธรรมคัมภีร์ประกอบด้วยความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์  (2) พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่สอนขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์  (3) พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

    (ก) หลักวิทยาศาสตร์  หลักวิทยาศาสตร์สอนว่าสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องขึ้นอยู่กับกฎของวิทยาศาสตร์อันี้คือ  เวลา,  พลัง,  ปฏิกิริยา,  ห้วงอวกาศ,  และสสาร   เฮอร์เบอร์ต สเปนเซอร์ เป็นคนแรกที่ได้ประกาศความจริงเกี่ยวกับกฎนี้  เมื่อปี ค.ศ. 1820-1903  ความจริงแล้วกฎของวิทยาศาสตร์ข้อนี้  โมเซผู้เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์เล่มแรกได้เป็นคนแรกที่เปิดเผยความจริงนี้  เขาได้เขียนกฎนี้ไว้เมื่อ ปี ก.ค.ศ. 1500 ปี  เขาประกาศกฏนี้ก่อน "เมื่อเดิมนั้นพระเจ้าได้ทรงนฤมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก" (เยเนซิศ 1.1) ตรงกับหลักของวิทยาศาสตร์ดังนี้

 

เมื่อเดิม  In The Beginning  =  เวลา  Time

พระเจ้า  God  =  พลัง  Energy

สร้าง  Created  =  ปฏิกิริยา  Reaction

ฟ้าสวรรค์  Heaven  =  ห้วงอวกาศ  Space

แผ่นดินโลก  Earth  =  สสาร  Matter

 

    โมเซทราบหลักวิทยาศาสตร์ข้อนี้ได้อย่างไร  เราสรุปว่าพระเจ้าได้ดลใจให้เขาเขียนข้อความนี้ขึ้น

    (ข) ความสว่างเกิดขึ้นก่อนดวงอาทิตย์  ครั้งหนึ่งมนุษย์เชื่อเหมือนกับ  เซอร์ไอแซค นิวตัน  ว่าความสว่างที่เราได้รับนี้มาจากดวงอาทิตย์  นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้พากันลงความเห็นว่า ไม่ใช่ดวงอาทิตย์เท่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งแสงสว่าง  จะต้องมีบ่อเกิดแห่งความสว่างขึ้นก่อนแน่นอน  โมเซศาสดาพยากรณ์คนหนึ่งได้เขียนข้อความเปิดเผยความจริงนี้ไว้แล้วว่า ดวงอาทิตย์ไม่ใช่เป็นบ่อเกิดแห่งความสว่างเท่านั้น  พระเจ้าทรงสร้างความสว่างขึ้นก่อนแล้วจึงสร้างดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาวต่าง ๆ ขึ้นทีหลัง (เยเนซิศ 1.3-5)  โมเซรู้ความจริงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ข้อนี้ได้อย่างไรในสมัยนั้นทั้ง ๆ ที่คนในสมัยนั้นมีความเชื่อแปลก ๆ การที่โมเซเขียนข้อความสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์เราจึงสรุปว่า พระเจ้าเป็นผู้ที่ดลใจให้โมเซเป็นผู้เขียน และพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า

    (ค) โลกลอยอยู่ในห้วงอวกาศโดยไม่ติดกับอะไร  ในสมัยโบราณพวกกรีกเชื่อว่า  มียักษ์แบกโลกของเราเอาไว้  ปัจจุบันนี้โดยความรู้ทางวิทยาศาสตร์  มนุษย์ทราบว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ลอยอยู่ในท้องฟ้าได้โดยอาศัยกฎของการโน้มถ่วง  หรือแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์,  ดวงจันทร์  และดวงดาวอื่น ๆ ทำให้โลกของเรานี้ลอยอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอะไรยึดเหนี่ยว   ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะพบความจริงเรื่องนี้  โยบได้เปิดเผยความจริงเรื่องนี้ไว้เมื่อปี ก.ค.ศ. 2500 ปี (โยบ 26.7)  โดยกล่าวว่า พระเจ้าให้โลกลอยอยู่ในท้องฟ้าโดยไม่ติดกับอะไร  โยบทราบได้อย่างไรว่าโลกของเราไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวเอาไว้  พระเจ้าเป็นผู้ดลใจให้โยบได้กล่าวข้อความซึ่งเป็นความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

    (ง) ทะเลไม่รู้จักเต็ม  จากการคำนวณของนักวิทยาศาสตร์เราทราบว่าน้ำในแม่น้ำลำคลอง น้ำฝนไหลลงสู่ทะเลทุกวัน  วันละประมาณ 186,000 ลูกบาศก์ไมล์  แต่ทำไมน้ำจึงไม่เต็มทะเล  เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์อธิบายให้ทราบว่า การที่น้ำไหลลงสู่ทะเลทุกวัน แต่ทะเลไม่เต็มก็เพราะว่าน้ำในทะเลระเหยกลายเป็นไอลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า  เมื่อเย็นจึงจับกันเป็นก้อนเมฆ แล้วตกลงมาเป็นฝน  หมุนเวียนกันไปจึงทำให้น้ำในทะเลไม่เต็ม  แต่กษัตริย์ซะโลโมของชนชาติยิศราเอลสมัยโบราณ  ได้เป็นผู้ประกาศความจริงเอาไว้นับเป็นพันปีก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะพบความจริงเรื่องนี้  กษัตริย์ซะโลโมกล่าวไว้ในหนังสือของท่านว่า "บรรดาแม่น้ำทั้งหลายไหลลงไปสู่ทะเล  ถึงกระนั้นทะเลก็ไม่รู้จักเต็ม ถึงแม้ว่าแม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงไปแล้วไหลลงไปอีก" (ท่านผู้ประกาศ 1.7)  กษัตริย์ซะโลโมได้ประกาศความจริงเรื่องนี้ไว้เมื่อ ก.ค.ศ. 930 ปี  ท่านทราบความจริงนี้ได้อย่างไร  พระเจ้าเป็นผู้ดลใจให้ท่านเขียนข้อความนี้ขึ้น

    (จ) สามอาณาจักร  ความรู้ของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แยกของทุกสิ่งในโลกนี้ออกเป็นสามอาณาจักรคือ (1) อาณาจักรของแร่ต่าง ๆ  (2) อาณาจักรของพืช  (3) อาณาจักรของสัตว์  เป็นที่น่าสังเกตว่าชาติสมัยโบราณ เช่น พวกอะซีเรียและพวกบาบิโลนก็ไม่ทราบความจริงนี้  แต่โมเซต่างหากเป็นผู้ที่ได้ประกาศความจริงเกี่ยวกับสามอาณาจักรนี้ไว้เมื่อปี ก.ค.ศ. 1500 ปี หมายความว่าประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว  เขาประกาศไว้ในหนังสือเล่มแรกของเขา  เยเนซิศ บทที่ 1 ถึงบทที่ 2  จึงสรุปว่าการที่โมเซสามารถรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ข้อนี้แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ดลใจให้โมเซเป็นผู้เขียน  และพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าแน่นอน

    (ฉ) โลกกลม  นานมาแล้วมนุษย์เชื่อว่าโลกของเรานี้แบน  ถ้าเดินทางไปไกลจะได้รับอันตราย จนกระทั่งแมกเจลแลนด์ โคลัมบัส ได้เดินทางรอบโลกพิสูจน์ว่าโลกกลม เมื่อปี ค.ศ. 1520   พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ประกาศความจริงข้อนี้ไว้ก่อนแมกเจลแลนด์และคนอื่น ๆ  ยะซายาเป็นศาสดาพยากรณ์คนหนึ่งในสมัยที่ชนชาติยิศราเอลเป็นประเทศใหญ่  เมื่อ ก.ค.ศ. 726 ปี  ยะซายาได้ประกาศว่า โลกของเรานี้กลม (ยะซายา 40.22)  และกษัตริย์ดาวิดก็ได้ประกาศความจริงเรื่องนี้ด้วย เมื่อ ก.ค.ศ. 973 ปี  (สุภาษิต 8.27)  อีกครั้งหนึ่งเราสรุปได้ว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า

    (ช) ไฟฟ้าในก้อนเมฆ  สมัยโบราณมนุษย์ไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพื่ออธิบายปรากฎการณ์ของฟ้าผ่า  หรือฟ้าร้องได้  จึงมีความเชื่อกันต่าง ๆ นานา  พวกกรีกโบราณเชื่อว่าเทพเจ้าจูปีเตอร์ทำให้เกิดฟ้าผ่า  เบ็นจามิน แฟรงคลิน และโธมัส แอลวา เอดิสัน  ได้พบความจริงเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ. 1725  เขาได้ทำการทดลองโดยใช้ว่าวมีกุญแจติดไว้ด้านปลายของสายว่าว ในขณะที่มีลมพายุฝนปรากฎว่ามีแสงแปล๊บออกมาจากกุญแจนั้น  แต่ก่อนที่เบ็นจามิน แฟรงคลินจะพบความจริงเรื่องนี้  ยิระมะยาศาสดาพยากรณ์ได้ประกาศความจริงนี้ไว้ก่อนแล้วในปี ก.ค.ศ. 628  "พระองค์ได้กระทำให้มีฟ้าแลบมาด้วยน้ำฝน" (ยิระมะยา 10.13)  การที่ยิระมะยาได้เขียนข้อความสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ก็เพราะพระเจ้าดลใจให้เขาเขียนนั่นเอง

    (ซ) เส้นทางในมหาสมุทร  ปัจจุบันนี้นักเดินเรือสมุทรทั้งหลายเป็นหนี้บุญคุณ แมทธิว ฟอนเธน เมารี  เพราะเขาเป็นคนแรกที่ได้ทำการค้นพบเส้นทางในมหาสมุทร  เมื่อแมทธิว ฟอนเธน เมารี กำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  หลานชายของเขาได้อ่านข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์จากหนังสือ บทเพลงสรรเสริญ 77.19, 8.8  ข้อความนี้กล่าวถึงเรื่องเส้นทางในมหาสมุทร  เมารีกล่าวว่า "ถ้าพระเจ้าบอกว่ามีเส้นทางในมหาสมุทร  ก็แสดงว่าจะต้องมีจริง ๆ"  แล้วในปี ค.ศ. 1806-1873 เมารีก็ได้พบเส้นทางในมหาสมุทรตามที่ดาวิดได้ประกาศไว้ก่อนแล้วเมื่อ ก.ค.ศ. 853  ปัจจุบันนี้ ณ มหาวิทยาลัย แอนนาโปลิส อาเคเดมี  มีอนุสาวรีย์ของ แมทธิว ฟอนเธน เมารี   ผู้คนพบเส้นทางในมหาสมุทร  มนุษย์ไม่สามารถเขียนข้อความซึ่งประกอบไปด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์เหมือนกับเรื่องนี้ได้  แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์บรรจุไว้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นข้อพิสูจน์เหนือข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้นว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า

    (ญ) ประโยชน์ของฝุ่นละอองปฐม  ฝุ่นละอองปฐมหรือฝุ่นละอองเบื้องบนอยู่บริเวณขอบบรรยากาศของโลก  ดร.วาลเลซ  ได้ชี้แจงว่า ฝุ่นละอองประเภทนี้ทำให้ท้องฟ้ามีสีสวยสด  ทำให้เกิดฝนตก  จำพวกพืชผักต่าง ๆ เกิดผลมาก  ถ้าไม่มีฝุ่นละอองนี้จะทำให้ฝนตกน้อย  มองเห็นแสงสว่างไม่ได้  แสงเงินแสงทองในยามเช้าจะหายไป  จะเห็นดวงดาวในเวลากลางวัน  ฝุ่นละอองประเภทนี้ ดร.วาลเลซ บอกว่ามาจากทะเลทราย  เดี๋ยวนี้เราจึงทราบประโยชน์ของทะเลทราย  แต่ยะซายาและกษัตริย์ซะโลโม ได้ประกาศความจริงเรื่องนี้ไว้ก่อนที่ ดร.วาลเลซ จะพบความจริงเรื่องนี้  ยะซายาเขียนเมื่อปี ก.ค.ศ. 930  นักศึกษาจะอ่านได้จากหนังสือยะซายา 40.12 และสุภาษิต 8.26  เราจึงสรุปว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า

    (ฌ) มนุษย์สืบเชื้อสายโลหิตอันเดียวกัน  มนุษย์ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากลิง  มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ด้วยกันเอง  ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดในโลกนี้  มนุษย์ทุกชาติมีเชื้อสายโลหิตอันเดียวกัน  ถ้าเราจะเอาโลหิตของลิงหรือสัตว์อื่นมาฉีดให้กับคน  จะเกิดปฏิกิริยาถึงกับตายทันที  แต่ว่าถ้าเราจะเอาโลหิตของมนุษย์ฉีดให้กันและกันได้ ถ้าเลือดอยู่ในพวกเดียวกัน  สรุปแล้วมนุษย์ทุกชาติในโลกนี้มาจากสายโลหิตอันเดียวกัน  นายแพทย์ลูกาได้ประกาศความจริงนี้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เมื่อปี ค.ศ. 67 ในหนังสือ กิจการ 17.26 "พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกประเทศสืบเชื้อสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนที่อยู่ให้เขา"   โมเซก็ได้ประกาศความจริงไว้ด้วยในปี ก.ค.ศ. 1500 ในหนังสือเลวีติโก 17.11,  พระบัญญัติ 12.23  เหตุที่เขารู้ได้ก็เพราะพระเจ้าได้ทรงนำให้เขาเขียนข้อความสอดคล้องกับความเป็นจริงตามหลักวิทยาศาสตร์

    (ฎ) เชื้อโรค  ปัจจุบันนี้มนุษย์เราก้าวหน้ามากในด้านการแพทย์  การรักษาความสะอาด  เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา  ทำให้มนุษย์พ้นจากการเจ็บไข้มากขึ้น  แพทย์สมัยใหม่ชี้แจงให้เราต้มน้ำดื่ม,  รับประทานอาหารที่สุกแล้ว  ผักที่รับประทานควรล้างให้สะอาด  สัตว์ที่ตายแล้วหรือมีเชื้อโรคไม่ควรรับประทาน  เนื้อหมูมักมีเชื้อโรคบางชนิด  ปลาที่ไม่มีเกล็ดในน้ำจืดอาจมีเชื้อโรคติดอยู่ด้วย ถ้าไม่ทำให้สุกดีผู้รับประทานอาจรับประทานเอาเชื้อโรคเข้าไปด้วย  ในหนังสือ เลวีติโก บทที่ 11.11, 13  และกิจการ 15.20  ได้ชี้แจงไว้อย่างละเอียดโดยโมโซ เมื่อ ก.ค.ศ. 1500 ปี ข้อความที่โมเซได้ชี้แจงเอาไว้เกี่ยวกับการป้องกันเชื้อโรค การป้องกันโรคระบาด  การทำความสะอาด การเลือกรับประทานอาหารจากเนื้อสัตว์และพืชผักอย่างถูกต้อง  ช่วยรักษาสุขภาพของคนเราอย่างดี  อีกครั้งหนึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็เป็นความจริงอันอมตะ

 

ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1lnU0iAlxRm_gUhpfjsmvR4iFwQ2Avj0gTG7XK5tLQTg/viewform

bottom of page